จากศิลปะประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเข้าถึงได้ยาก แต่นวัตกรรมและกระบวนการรับชมที่เปลี่ยนแปลงใหม่ ทำให้ “โขน” มีโอกาสเดินทางเข้าถึงใจผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้มากขึ้น
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่ประเทศไทยได้รับการประกาศรับรองให้ “โขนไทย” เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ โดยองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) พร้อมทั้งเผยแพร่โขนซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูง รวมถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้แพร่หลาย นลิน วนาสิน ประธานคณะกรรมการร่วมหอสมุดนิลเซนเฮส์ ได้จัดทำโครงการ “พัฒนาองค์ความรู้จากศิลปะการแสดงโขนและร่างกายศึกษา”
ภายในโครงการมีการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายและฉายภาพยนตร์สารคดี 5 ตอนเกี่ยวกับการวิจัยเรื่องโขนของสำนักการสังคีต กรมศิลปากร สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการบูรณาการศาสตร์ในการสร้างสรรค์นาฏยกรรมโขน เพื่อสานต่อกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับโขน ซึ่งเป็นมรดกและภูมิปัญญาของไทย โดยมีผู้อำนวยการผลิตและหัวหน้าโครงการคือ ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน
นอกจากนั้นยังมีการบรรยายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับโขน เพื่อเปิดโอกาสให้แก่ศิลปินรุ่นใหม่ได้นำข้อมูลมาปรับประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์นาฏยกรรมโขนในบริบทใหม่ ได้แก่ การบรรยายและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากศิลปะการแสดงโขนและร่างกายศึกษา (Khon : The Human Body : Embodiment & Knowledge management) ระหว่างวันที่ 11–12 มีนาคม พ.ศ. 2564 ณ ลิโด้ คอนเน็กต์ และจัดบรรยายประกอบการสาธิตและการเสวนาหัวข้อเดียวกัน ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2564 ณ หอสมุดนิลเซนเฮส์
มีการจัดพิมพ์หนังสือที่รวบรวมการวิจัยเรื่อง Miscellany of Khon หรือ เกร็ดโขน แจกจ่ายให้ผู้ที่สนใจ นักวิชาการ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ นับเป็นการต่อยอดงานวิจัย และพัฒนาองค์ความรู้โขนให้ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่สูญเสียรากฐานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ข้อมูลเกี่ยวกับนิทรรศการและการบรรยายได้รับการเผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์เพื่อดึงดูดผู้ที่สนใจให้มาร่วมค้นคว้าประสบการณ์เพิ่มเติม และยังมีการเผยแพร่ให้มหาวิทยาลัยในต่างประเทศทางด้านศิลปะการแสดง ได้แก่ National Taipei University of the Arts ได้เข้าร่วมชมการแสดง
โครงการนี้ได้เปลี่ยนกระบวนการรับชมโขนของผู้ชมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จากที่เคยเข้าถึงได้ยากให้เข้าถึงผู้คนได้มากและง่ายขึ้น อีกทั้งเรื่องของสัดส่วนของสรีระ การใช้ร่างกายเพื่อตีความบทวรรณกรรม และการบูรณาการศาสตร์ในการสร้างสรรค์นาฏยกรรมโขน ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนรู้เรื่องโขนในหมู่ศิลปินและนักวิชาการจากแขนงต่าง ๆ
“โขน” ในมิติใหม่ได้พาผู้ชมไปทำความรู้จักกับศิลปะแขนงนี้ผ่านหลากหลายแง่มุม ทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนรุ่นใหม่ได้หันมาต่อยอดงานวิจัยเกี่ยวกับโขน สร้างสรรค์ผลงานร่วมสมัยจากศิลปะประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นับเป็นศิลปะการแสดงในกระแสเปลี่ยนผ่านที่ไม่ยอมถูกกลืนหาย แต่ยังเชื่อมโยงความร่วมสมัย ทำให้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น






